งานประจำสัปดาห์ วันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์
๒๕๕๗
๑. ให้นักศึกษาหาหน่วยงานหรือองค์กรที่นำ KM ไปประโยชน์ใช้ในการจัดการบริหารองค์กรให้เกิดประสิทธิภาพ
พร้อมทั้งวิจารณ์ว่าดีในประเด็นใดบ้าง และนำ IT ไปใช้อย่างไรบ้าง
การจัดการความรู้ในวิทยาลัยพยาบาลพระจอมเกล้า
จังหวัดเพชรบุรี
การจัดการความรู้ Knowledge Management (KM) หมายถึง
การรวบรวมความรู้สู่การปฏิบัติ (Tacit Knowledge) ซึ่งเป็นความรู้ที่เกิดจาก
การเรียนรู้ เจตคติในงาน ประสบการณ์การทำงานและพฤติกรรมการทำงานของแต่ละบุคคล ซึ่งปฏิบัติงานเรื่องเดียวกันหรือคนละเรื่อง แล้วประชุมหรือสัมมนาแลกเปลี่ยนเรียนรู้จากกันและกัน
แลกเปลี่ยนประสบการณ์ เมื่อรวบรวมแล้วก็มีการนำความรู้ที่ได้มาสังเคราะห์
วิเคราะห์ (Analysis) หรือจัดระบบใหม่
เพื่อสร้างเป็นองค์ความรู้ใหม่ ยอมรับข้อดีและจุดที่เป็นปัญหาของกันและกัน
มีการจัดเก็บข้อสรุปทั้งมวลอย่างเป็นระบบเพื่อนำไปสู่การยอมรับในกฎกติกาขององค์กรที่ทุกคนยอมรับ
แล้วนำมาเผยแพร่ความรู้เพื่อให้เกิดการต่อยอดความรู้หรือสร้างประโยชน์จากความรู้และนำไปปฏิบัติให้เกิดประโยชน์ต่อตนเองและองค์กร
รวมทั้งเป็นแบบอย่างต่อหน่วยงานอื่น อันจะยังประโยชน์ใน วงวิชาการและงานการศึกษาต่อไป
สถานศึกษาเป็นหน่วยสำคัญที่สุดในการจัดการศึกษา โดยเฉพาะสถานศึกษาระดับวิทยาลัยพยาบาล เนื่องจากมีหน้าที่จัด
การเรียนการสอนด้านสุขภาพ เพื่อให้ผู้เรียนได้เกิดการเรียนรู้
โดยมีผู้บริหารสถานศึกษาและครูพยาบาล เป็นผู้รับผิดชอบดำเนินงาน
คุณภาพการศึกษา จะต่ำหรือสูง
จึงขึ้นอยู่กับผู้บริหารและครูเป็นสำคัญ โดยเฉพาะการจัดการเรียนรู้ของครูจะต้องอาศัยความรู้และกระบวนการที่เหมาะสมในการจัดการความรู้
ซึ่งจะต้องดำเนินงานร่วมกับนักศึกษา ผู้บริหาร และชุมชน
ทั้งในฐานะผู้ปฏิบัติ ผู้นำ ผู้ร่วมมือ ดังนั้น
บทบาทในการจัดการความรู้ของครูจึงอาจกล่าวได้ดังนี้
1. การจัดการความรู้ของตนเอง
เป็นการจัดการความรู้ในระดับบุคคล
ในฐานะผู้นำในการจัดการเรียนการสอนและทำงานร่วมกับผู้เรียน ครูผู้อื่นในสถานศึกษา
ผู้บริหาร และชุมชน
2. การจัดการความรู้ในชั้นเรียน
เป็นการจัดการความรู้ร่วมกับผู้เรียนในชั้นเรียน โดยเป็นผู้นำ
ผู้สนับสนุนและส่งเสริมให้เกิดกระบวนการจัดการเรียนรู้ของผู้เรียน
3. การจัดการความรู้ของวิทยาลัยพยาบาล เป็นการจัดการความรู้ระดับองค์กร โดยร่วมมือกับผู้บริหารวิทยาลัย คณะครู
และนักศึกษา เพื่อให้วิทยาลัยเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้
4. การจัดการความรู้ในชุมชน
เนื่องจากวิทยาลัยพยาบาลเป็นส่วนสำคัญของชุมชนมีบทบาทหน้าที่จัดการศึกษาด้านสุขภาพเพื่อสนองความต้องการของชุมชน
รวมทั้งมีบทบาทในการสร้างความเข้มแข็งให้แก่ชุมชนครูจึงมีบทบาทร่วมกับวิทยาลัยในการจัดการความรู้ในชุมชน
เมื่อครูเป็นผู้มีบทบาทสำคัญและมีความจำเป็นจะต้องเป็นครูจัดการความรู้ในระดับต่าง
ๆ ครูจะต้องพัฒนาตนเองให้มีความสามารถและทักษะในการจัดการความรู้สูงขึ้น
ซึ่งมีเทคนิคสามารถกระทำได้ ดังนี้
1. ขั้นการกำหนดความรู้
ครูจะต้องเข้าไปมีส่วนร่วมในการกำหนดวิสัยทัศน์เกี่ยวกับการจัดการเรียนการสอนของวิทยาลัย ศึกษาวิเคราะห์หลักสูตรแต่ละระดับ
เพื่อนำมากำหนดความรู้ที่ต้องการในการจัดการเรียนการสอน
รวมทั้งให้ความร่วมมือกับวิทยาลัยและบุคคลอื่นในการคิดวางแผน กำหนดความรู้ที่ใช้ในการจัดการเรียนการสอน
2. ขั้นการแสวงหาความรู้
ครูจะต้องตระหนักถึงความสำคัญของการแสวงหาความรู้
พัฒนาความรู้สามารถของตนเองให้เข้าถึงความรู้ โดยการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ
การแสวงหาความรู้จากผู้เชี่ยวชาญ ภูมิปัญญาท้องถิ่น
และเพื่อนร่วมงานโดยการยอมรับในความรู้ความสามารถซึ่งกันและกัน
3. ขั้นการสร้างความรู้ ครูจะต้องเข้าร่วมกิจกรรมสร้างความรู้
นวัตกรรมของสถานศึกษา เข้าร่วมประชุมสัมมนา
ประชุมปฏิบัติการเกี่ยวกับการเรียนการสอนที่หน่วยงานต่าง ๆ จัดขึ้น เช่น
การประชุมทางวิชาการเกี่ยวกับการวิจัยในชั้นเรียน เป็นต้น
4. ขั้นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้
ครูจะต้องเข้าร่วมเป็นสมาชิกเครือข่ายการพัฒนาวิชาชีพทั้งในสถาน
ศึกษาและนอกสถานศึกษา
และเข้าร่วมกิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ที่สมาคมหรือชมรมทางวิชาชีพครู จัดขึ้นอยู่เสมอ รวมทั้ง ดำเนินกิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในลักษณะอื่น ๆ
เช่น การเขียนบทความทางวิชาการ เผยแพร่ในวารสารของสภาวิชาชีพ การแสดงความคิดเห็นแลกเปลี่ยนเรียนรู้ทาง
Internetเป็นต้น
5. ขั้นการเก็บความรู้
ครูจะต้องพัฒนาตนเองให้มีความรู้ความสามารถเก็บความรู้อย่างเป็นระบบในรูปแบบต่าง ๆ
เช่น การใช้เทคโนโลยีในการเก็บความรู้ในรูปแบบ Websiteวีดีทัศน์
แถบบันทึกเสียง และคอมพิวเตอร์เป็นต้น รวมทั้ง ครูจะต้องจัดทำแฟ้มพัฒนางาน
จัดทำเอกสารประกอบการสอนที่ได้จากการสร้าง และการแลกเปลี่ยนความรู้
6. ขั้นการนำความรู้ไปใช้
ครูจะต้องเข้าร่วมกิจกรรมโดยการนำเสนอความรู้ในโอกาสต่าง ๆ เช่น การจัดนิทรรศการ
การประชุมสัมมนา หรือการประชุมเสนอผลงานเป็นการเฉพาะ รวมทั้ง
มีการเผยแพร่ความรู้ผ่านช่องทางต่าง ๆ เช่น วารสาร เว็บไซด์ จดหมายข่าว เป็นต้น
เทคนิคดังกล่าวข้างต้น
ถ้าครูกระทำอยู่เป็นประจำอย่างต่อเนื่องก็จะทำให้เกิดทักษะและความชำนาญในการจัดการความรู้เพิ่มขึ้น
เป็นบุคคลแห่งการเรียนรู้ (learning worker)ในที่สุด
การพัฒนาการจัดการความรู้ของครู อาจดำเนินการได้หลายลักษณะ
รวมทั้งการตรวจสอบจาก ตัวบ่งชี้เพื่อนำข้อมูลที่ได้ไปปรับปรุงและพัฒนาความสามารถในการจัดการความรู้ของครูให้เหมาะสมยิ่งขึ้น
ซึ่งจากการศึกษาของ ดร.วิลาวัลย์ มาคุ้ม
โดยได้พัฒนาตัวบ่งชี้การจัดการความรู้ของครูในสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน
สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ ทราบว่า
องค์ประกอบและตัวบ่งชี้การจัดการความรู้ของครูมีดังนี้
1. องค์ประกอบด้านการกำหนดความรู้ มีตัวชี้วัดสำคัญได้แก่
ผู้บริหารเปิดโอกาสให้ทุกคนมีส่วนร่วมในการกำหนดความรู้ที่ใช้ในการจัดการเรียนการสอน
และผู้บริหารสนับสนุนให้ครูได้มีการเพิ่มพูนความรู้ความสามารถ
2. องค์ประกอบด้านการแสวงหาความรู้ มีตัวบ่งชี้สำคัญ ได้แก่
ครูตระหนักถึงความรับผิดชอบในการเพิ่มพูนประสบการณ์การเรียนรู้
และครูได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานต่าง ๆ
ภายในสถานศึกษาในการแสวงหาความรู้ร่วมกัน
3. องค์ประกอบด้านการสร้างความรู้ มีตัวบ่งชี้ที่สำคัญ ได้แก่
สถานศึกษามีหน่วยงานหรือ
บุคลากรรับผิดชอบในการจัดกิจกรรมสร้างความรู้
เช่น การจัดประชุมสัมมนา การอบรม การสาธิต การวิจัยในชั้นเรียน การระดมความเห็น
การสนทนา เป็นต้น และ
ผู้บริหารสนับสนุนให้ครูมีการสร้างความรู้เพื่อใช้ประโยชน์ในการจัดการเรียนการสอน
4. องค์ประกอบด้านการแลกเปลี่ยนความรู้ มีตัวบ่งชี้สำคัญ
ได้แก่
บรรยากาศการแลกเปลี่ยนความรู้ร่วมกับภายในสถานศึกษาตั้งอยู่บนพื้นฐานของการใช้เหตุผลมากกว่าการใช้อารมณ์และความรู้สึกและบรรยากาศการทำงานภายในสถานศึกษามีลักษณะเป็นเพื่อนร่วมงานมากกว่าการเคารพเชื่อฟัง
5. องค์ประกอบด้านการเก็บความรู้ มีตัวบ่งชี้สำคัญ ได้แก่
ผู้บริหารให้ความสำคัญและเป็นผู้นำในการเก็บความรู้ของสถานศึกษาและครูมีความสามารถในการเก็บความรู้อย่างเป็นระบบ
เช่น ในแฟ้มพัฒนางาน ตำราเรียน การลงในวารสาร และจดหมายข่าว เป็นต้น
6. องค์ประกอบด้านการนำความรู้ไปใช้ มีตัวบ่งชี้สำคัญ ได้แก่
ครูสามารถนำความรู้ความสามารถของตนไปประยุกต์ใช้ในการจัดการเรียนการสอน
และสถานศึกษาจัดให้ครูที่มีความรู้และทักษะเป็นการเฉพาะเป็นผู้ถ่ายทอดความรู้
อย่างไรก็ตาม การจัดการความรู้ของครูภายในสถานศึกษาเกิดจากการผสมผสานการทำงานของปัจจัยที่สำคัญ
คือ
1. ครูและบุคลากรภายในสถานศึกษา
จะต้องมีความรู้ความเข้าใจในความสามารถและมุ่งมั่นที่จะพัฒนาการจัดการความรู้
โดยเฉพาะผู้บริหารสถานศึกษาจะต้องเป็นผู้นำแห่งการเรียนรู้พัฒนาตนเองและเอื้ออำนวยให้บุคลากรภายในวิทยาลัยพัฒนาพร้อมกันไปด้วย
2. กระบวนการจัดการความรู้ โดยมีขั้นตอนดำเนินงานอย่างเหมาะสม
บุคลากรทุกฝ่ายในโรงเรียนมีความเข้าใจและสามารถเข้าร่วมกิจกรรมได้อย่างต่อเนื่อง
3. เทคโนโลยีสารสนเทศ วิทยาลัยต้องให้มีระบบเทคโนโลยีสารสนเทศที่มีคุณภาพรองรับการจัดการ
ความรู้ได้อย่างเหมาะสม และเปิดโอกาสให้ครูทุกคนได้ใช้ระบบสารสนเทศอย่างทั่วถึง
4. การบริหารจัดการวิทยาลัย
ต้องจัดระบบบริหารจัดการที่เอื้ออำนวยโดยมีการกระจายอำนาจและให้ทุกฝ่ายมีส่วนร่วม
รวมทั้ง มีการจูงใจที่เหมาะสม
การจัดการความรู้เป็นภารกิจของครูที่จะต้องดำเนินการให้เกิดขึ้นทั้งในส่วนของครูเอง
ในชั้นเรียน วิทยาลัยฯและชุมชน
เพื่อให้การทำหน้าที่การจัดการเรียนการสอนมีประสิทธิภาพ
และการจัดการศึกษาของวิทยาลัยฯบรรลุเป้าหมาย
การจัดการความรู้จึงเป็นการใส่ใจเรื่องความรู้ที่จะใช้แก้ปัญหาในสถานการณ์หรือในระบบเป้าหมายของการจัดการความรู้นอกจากเรียนรู้จากความรู้เผยตัวแล้ว ยังเอื้ออำนวยในการเปลี่ยนรูปแปลงโฉมความรู้ฝังตัวไปเป็นความรู้เผยตัวสามารถเข้าถึงได้และยังสามารถนำมาแก้ปัญหาที่เหมาะสมกับสถานการณ์
และการจัดการความรู้ในวิทยาลัย
เป็นการบริหารการจัดการเรียนการสอนให้มีการต่อยอดความรู้เป็นการเก็บรวบรวมประสบการณ์
ความเข้าใจรวมทั้งสร้างสรรค์ความรู้ขึ้นมาใหม่
มีกระบวนการเชื่อมแหล่งความรู้และถ่ายทอดความรู้ โดยมีการวางแผน
ซึ่งการวางแผนความรู้ (Knowledge Planning) เป็นการมองไปข้างหน้าถึงการใช้แหล่งความรู้การใช้โมเดลจัดวิธีการจัดการเรียนการสอน
เทคนิคต่างๆ ให้การจัดการความรู้มีประสิทธิผลกำหนดการจัดการเรียนการสอน
หรือการพัฒนาที่ใช้ความรู้เป็นฐานที่จะสนับสนุนครูผู้สอนหรือวิธีการอื่นๆ
ที่จะช่วยวิทยาลัย ในการแข่งขัน มีความสามารถที่จะปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของสังคมภายนอกโรงเรียน
ในการจัดการความรู้นั้นแบ่งขั้นตอนได้ดังนี้
1. การวิเคราะห์ การพิจารณาว่าวิทยาลัยฯ ขาดความรู้ในเรื่องใด และต้องการความรู้ประเภทใด
จะเพิ่มความรู้ความชำนาญของครูโดยความรู้ชนิดใด วิเคราะห์ความมีประโยชน์ความเหมาะสมที่จะใช้ในวิทยาลัย
เข้าใจปัญหา โอกาส ยุทธศาสตร์ ทางแก้
การวิเคราะห์ความรู้เป็นขั้นตอนที่สำคัญต่อความสามารถในการจัดการความรู้
ทำให้รู้ว่าจะจัดหาความรู้ และจะนำความรู้ไปใช้อย่างไรให้เหมาะสม
2. การจัดหาความรู้ การได้ความรู้มามี 2 ทางคือ
ทางหนึ่งเป็นการเก็บรวบรวมความรู้ทั้งจากแหล่งความรู้ ภายในและภายนอก
ทั้งจากสื่ออิเล็กทรอนิกส์ สิ่งพิมพ์และบุคคล
ทางที่สองคือการสร้างสรรค์ความรู้ในวิทยาลัย เช่น การเรียนรู้จากการปฏิบัติ
วิธีการทำงาน ใช้การวิจัย
3. การเก็บรักษา เป้าหมายคือ ทำความรู้ให้คงอยู่ เข้าถึงได้สะดวก
และสะดวกในการนำออกมาใช้
4. การนำไปใช้
เป็นไปเพื่อสร้างสรรค์ผู้เรียนให้มีคุณลักษณะอันพึงประสงค์มีความสามารถในการแข่งขันในสังคมโลกและอยู่ร่วมในสังคมอย่างมีความสุข
โดยใช้เวลาน้อยที่สุดในการปลูกฝังอบรมบ่มเพาะทั้งในการเตรียมตัวเตรียมสาระการเรียนรู้
กระบวนการเรียนรู้ที่ย่นเวลาโดยการส่งมอบการเรียนรู้ที่เต็มคุณภาพ
กิจกรรมต่อไปนี้ถือเป็นส่วนหนึ่งของการจัดการความรู้ในสถานศึกษา
1. การดึงความรู้ออกมาจาก “ครูต้นแบบ”
และกระจายความรู้ให้แก่ครูคนอื่น
2. จัดให้มีการประชุม แลกเปลี่ยนประสบการณ์
การจัดการเรียนการสอนเพื่อพัฒนาคุณภาพผู้เรียน/คุณภาพการศึกษา
โดยอาจเป็นการประชุมตามปกติ หรือผ่านการสื่อสารทางไกลรูปแบบต่างๆ
3. จัดกระบวนการกลุ่มให้ครูผู้สอนในวิชาเดียวกันได้ระดมสมองแก้ปัญหาการเรียนการสอนรวมกัน
โดยมีการผลัดกันทำหน้าที่ผู้จัดการความรู้
4. ค้นหา
และส่งเสริมครูผู้สอนผู้ที่มีความสามารถพิเศษในด้านความรู้และทักษะการสอนนักเรียนและหาทางส่งเสริมให้อยู่ในสถานศึกษาด้วยการสร้างขวัญและกำลังใจในการทำงาน
5. พัฒนาหลักสูตรฝึกอบรม และกิจกรรม เพื่อพัฒนาครูในรูปแบบต่างๆ
เพื่อฝึกอบรมและพัฒนาครูแต่ละคนในสถานศึกษา
6. ส่งเสริม
ยกย่องให้รางวัลแก่ครูผู้สอนที่มีการจัดการความรู้ที่นำไปสู่การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันหรือการสอนงานครูรุ่นน้อง
7. จัดหาสิ่งอำนวยความสะดวกในการค้นคว้าความรู้ และการประยุกต์ใช้ความรู้เพื่อการสอนให้บังเกิดผลดียิ่งขึ้น
8. การแลกเปลี่ยนความรู้ที่ฝังอยู่ในตัวคน (Tacit
Knowledge) โดยใช้วิธีการผู้ฝึกสอน(Coaching) หรือการจัดเป็นทีมผู้สอนทีการร่วมคิดร่วมทำงาน โดยการวางแผนการสอนเป็นทีม
และใช้วิธีการประชุมแบบระดมสมอง
9. การแลกเปลี่ยนความรู้ที่ฝังในตัวคน (Tacit
Knowledge) โดยนำความรู้ Tacit Knowledge ในครูต้นแบบออกมานำเสนอในรูปแบบของการเล่าเรื่อง การเปรียบเทียบ
และการเขียนรายงานเพื่อนำเสนอหรือเสนอโดยสื่อ electronicและทางที่ดีควรนำความรู้ที่ฝังลึกในตัวคนไปเปรียบเทียบกับผลการวิจัย
เพื่อนำเสนอ วิเคราะห์เพื่อการตรวจสอบความเหมือนหรือต่างกับทฤษฎี
หรือหลักการที่เป็นความรู้ประเภท Explicit Knowledge การจัดการความรู้สู่การปฏิบัติโดยใช้วงจรการจัดการความรู้
ในการจัดการความรู้สู่การปฏิบัติ เพื่อให้เกิดการปรับปรุงคุณภาพผู้เรียนที่พึงประสงค์(Educational
Outcomes) คือผู้เรียนมีคุณภาพตามเป้าหมายของหลักสูตร
และพันธกิจของสถานศึกษานั้น วงจรข้อมูลสาสนเทศและความรู้ (The
Data-Information-Knowledge Continueus) ซึ่งเป็นวงจรที่มีผลกระทบซึ่งกันและกัน
และจะเป็นวงจรที่ทำให้เกิดการจัดการความรู้
เพื่อพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณภาพตามเป้าหมายของหลักสูตรและพันธกิจของสถานศึกษานับเป็นวงจรที่ทำให้เกิดการจัดการความรู้ที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง
สามารถนำ IT ไปใช้อย่างไร
วงจรการจัดการความรู้ (The Knowledge Management Continueus)
วงจรการจัดการความรู้ (The Knowledge Management Continueus)
ข้อมูล(Data) เป็นการขยายฐานของข้อเท็จจริง (Facts) หรือการวัดเชิงปริมาณเกี่ยวกับสิ่งที่สามารถวัดได้ในสถานศึกษา
ข้อมูลจะกลายเป็นสารสนเทศ (Information) เมื่อถูกนำมาจัดกระทำให้เป็นระบบโดยผ่านการตีความ(Interpretation)
แปลความเช่นการรายงานผล(Reports) และการจัดทำเป็นเอกสารสารสนเทศ
เช่น
การวางแผนยุทธศาสตร์ที่สามารถนำไปแลกเปลี่ยนกับสารสนเทศของสถานศึกษาอื่นที่สนใจ
ส่วนความรู้(Knowledge) คือความเข้าใจที่พัฒนาขึ้นมาจากข้อมูลและสารสนเทศเพื่อให้ครูผู้สอน/ผู้บริหารสามารถมีปฏิกิริยาโต้ตอบ
และใช้ความรู้ที่มีคุณค่าต่อตัวเขาให้เป็นประโยชน์
จะเป็นทั้งความรู้ในตัวคน เช่น ความรู้ที่เกิดจากการกระทำ
และเกิดจากประสบการณ์การสอนนักเรียน
สรุปได้ว่าความรู้จึงสามารถนำไปแลกเปลี่ยนกับคนอื่นๆได้โดยการแลกเปลี่ยนกันในเวทีการแลกเปลี่ยน
และในสภาวะที่เหมาะสม
ดังนั้น “ วงจรของข้อมูล-สารสนเทศ-ความรู้ ”
จึงเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของการจัดการความรู้วงจรนี้และจะเป็นประโยชน์ในการประเมินว่าสถานศึกษาดำเนินการจัดการความรู้ได้ดีเพียงใด
ทั้งนี้เพราะในการตัดสินใจผู้บริหารจะต้องมีข้อมูลที่มีประโยชน์เพียงพอต่อการตัดสินใจและข้อมูลที่จะนำมา
ใช้ จะต้องอาศัยเทคโนโลยีในการจัดเก็บ ให้สามารถนำมาใช้ได้อย่างทันเวลา
ทันสมัย รวดเร็ว เพื่อการตัดสินใจในเรื่องโปรแกรมการจัดการเรียนการสอน (Academic
Programmer) ให้ทันสมัยอยู่ตลอด เวลา ส่วนสารสนเทศ (Information)
เรื่องของสารสนเทศนั้นจะมีคำถามอยู่เสมอว่า
สถานศึกษาได้มีการนำข้อมูลที่จำเป็นและเป็นประโยชน์(Available) มาแปลงเป็นสารสนเทศโดยผ่านกระบวนการตีความ (Interpretation) และการนำเสนอ(Presentation) หรือไม่
เป็นสารสนเทศที่สำคัญและเหมาะสมกับสถานการณ์ของบริบทของสถานศึกษา ณ
เวลานั้นหรือไม่ รวมทั้งเป็นสารสนเทศที่สามารถให้บริการกับผู้ที่สนใจ
สามารถขอใช้บริการเพื่อก่อให้เกิดประโยชน์ทางการศึกษาหรือไม่ ส่วนความรู้(Knowledge)
ตามความหมายของการจัดการความรู้ หมายถึง
กระบวนการที่จะมีวิธีการใดที่บุคลากร ครู ผู้สอนในสถานศึกษามาร่วมกันแลกเปลี่ยนความรู้ทั้งใน
website หรือการประชุม โดยมีการนำข้อมูลมาวิเคราะห์
สังเคราะห์ แปลความหมายหรือตีความ (Interpretation)
ขณะเดียวกันก็จะต้องมีความรู้จากตำรา เอกสารมาตรวจสอบ หรือพิสูจน์
เพื่อตรวจสอบและทำความเข้าใจว่า ความรู้ที่ได้รับถูกต้องหรือไม่
เพื่อเป็นการตรวจสอบข้อมูลย้อนกลับ เพื่อนำไปสู่การตัดสินใจหรือการลงมือปฏิบัติ
ดังนั้นการจัดการความรู้ส่งผลให้
ผลสัมฤทธิ์ของการทำงานจากการจัดความรู้จะทำให้เกิดผลสำเร็จของงานในระดับดีมาก
ขึ้นไปถึงขั้นน่าภาคภูมิใจ หรือในระดับนวัตกรรม พนักงาน เกิดการพัฒนา การเรียนรู้ เกิดความมั่นใจตนเอง
เกิดความเป็นชุมชนในหมู่ผู้ร่วมงานและกลายเป็นบุคคลเรียนรู้คือ ใฝ่รู้ ใฝ่เรียน
ความรู้ของบุคคล และขององค์กรได้รับการยกระดับ
มีการสั่งสมและจัดระบบให้ “พร้อมใช้” และองค์กรหรือหน่วยงาน มีสภาพเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้
http://www.pckpb.ac.th/main/index.php?option=com_content&view=article&id=117:2012-07-24-17-34-44&catid=42:2012-07-19-08-27-43&Itemid=188
๒. จากรูปภาพในหน้าที่ผ่านมา นักศึกษาคิดว่าน่าจะมีตัว S อีกกี่ตัวอะไรบ้างที่เกี่ยวข้องกับ KM
7
S-Model หรือ 7 S-System ที่ใช้ในการจัดการความรู้
พัฒนาขึ้นโดย McKinsey Management Consultants ประกอบไปด้วย
1. Strategy
2. Systems
3. Style
of leadership
4. Staff
5. Skills
6. Structure
7. Shared
values
นอกเหนือจาก 7 S-Model เรายังพบองค์ประกอบ S อื่นๆ ในเอกสารการบรรยายของ ผศ.ดร.มนูญพงศ์ ศรีวิรัตน์
มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ที่ได้กล่าวถึง Survey, Sample, Save, Select,
Show, Search, Service, Summary ซึ่งความหมายของ S ต่างๆ ทั้งหมดข้างต้นนั้นจะไม่ขอกล่าวถึงในที่นี้ แต่จะขอนำเสนอว่า
ยังจะมี S ที่เกี่ยวข้องกับการจัดการความรู้เพิ่มเติม
Sake – ในการจัดการองค์ความรู้
บุคคลในหน่วยงานหรือองค์กรจะต้องคำนึงถึงประโยชน์ที่จะได้รับในองค์กรของตน
Serviceability – ในการจัดการองค์ความรู้ ถ้าองค์กรนำ IT เข้าไปเกี่ยวข้อง ความสามารถทางด้านการบริการ
และสามารถใช้งานจะต้องอำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้บริการได้อย่างดีเยี่ยม
Support
– ในการจัดการองค์ความรู้จะต้องได้รับการสนับสนุนจากผู้มีบริหารระดับสูงจนถึงบุคลากรภายในองค์กรทุกคน